วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2552

วันเสาร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ไม่มีใครรู้ ไม่มีใครถาม ไม่มีใครตอบ

คนเราจะเปลี่ยนตัวเอง ให้กลายเป็นคนละคนเลยได้มั้ยนะ..??

ขยันออกจากบ้าน
ขยัยทำงาน
ขยันอ่านหนังสือ
ไม่ง่วง ไม่หลับ ไม่นอน
นอนน้อยกว่าเดิม
หัดยืนด้วยลำแข้งตัวเอง
ลดพฤติกรรมบ้าบอให้น้อยลง
ฝึกคิดอยู่ตลอดเวลา
มองโลกในแง่ดี

วันอังคารที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2552

จะตายไหมกรู???

"เพราะชีวิตนี้ไม่เคย หนีการเผางานพ้น" เคยได้เห็นเพื่อนตั้งชื่อใน MSN
ก็ไม่ผิดจากความจริงเลยสักนิด

วันก่อนส่ง Senior Project Proposal ทำเอาเครียดเกือบตาย เผาสุดฤทธิ์ สุดท้ายก็ต้องแก้ โดนอาจารย์เม้นต์มาเยอะเหมือนกัน แต่ก็ดีนะ หูตาสว่างขึ้น เหมือนเริ่มมองเห็นอนาคตของชีวิต ยิ่งอาจารย์พูดเรื่อง TRUE เลยยิ่งค่อนข้างสนในเป็นพิเศษ จากที่เคย Suspend คิดไม่ตกว่าจะเปลี่ยนดีรึเปล่า ก็เริ่มมีกำลังใจในการทำเรื่องนี้ต่อไปมากขึ้น ยังไงก็คงต้องสู้ต่อไปสินะ ถ้าจะเอาดีทางด้านนี้ แถมอาจารย์ดันบอกอีกว่าถ้าเอาไปเสนอทรู เค้าอาจสนใจก็ได้ หึหึ แอบขำตัวเอง จะทำรอดมั้ยยังไม่รู้เลย แล้วนับประสาอะไรจะเอาไปเสนอทรู อาจารย์ก็ใหญ่เหมือนกันเนอะมีคุยกะทรูด้วยแต่ไม่กล้าถามว่าคุยกับใคร CEO มาเองเลยรึเปล่า รึจะเป็นศิษย์เก่า อันนี้ก็ไม่สามารถรู้ได้

กลับถึงห้อง...ตายห่า...เลือดกำเดาไหล!! สงสัยเครียดมากไป

เฮ้อชีวิต เด็กมหาลัยปีสุดท้าย....

เห็นลิสต์งานที่ต้องทำยาวเป็นหางว่าวก็อยากจะดิ้นให้มันตายไปเลย

ไมเยอะงี้ว่ะ.... เทอมนี้มันแรงจริงๆ เลยกรู แส่หาที่ตายป่าวเนี่ย

แต่ก็ได้เหล่าผองเพื่อนที่แสนดี เข้ามาช่วยทุกครั้ง ส่งสัยเห็นเครียดจัดเลยบอกไม่ต้องเต้นก็ได้ ไว้เต้นงานหน้าแล้วกัน T_T จริงๆ ก็แอบอยากเต้นนะวุ้ย

ไม่รู้ทำไมตัวเองทำไรหลายๆ อย่างพร้อมกันไม่ค่อยได้ดีเลย ไม่เห็นเหมือนเพื่อนแต่ละคน ทั้งเรียน ทั้งซ้อมเต้น ทั้งทำโปรเจ็ค เฮ้อแทบไม่เห็นจะเครียดไรเลยหว่าาาาา

ตูนั้นรึแทบจะบ้ากินเมื่อนึกถึงโปรเจ็ค มันหลอนมากจริงๆ อ่ะ กลัวเป็นที่สุด

ไม่กรูต้องกลัวในสิ่งที่มันไม่น่ากลัวด้วยว่ะ ไม่รู้ล่ะ ยังไงก็ต้องทำให้ได้ ในเมื่อตั้งแต่เรียนมาแทบไม่เคยทำอะไรด้วยตัวเองเป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมาเลย ก่อนจบก็ขอทำโปรเจ็คชิ้นสุดท้ายนี้ฝากไว้หน่อยเหอะนะ

ว่าแล้วก็กล่าวถึง SE Project ต้องสู้ต่อไป ฮึดๆ

เกลียดตัวเองที่ชอบกลัวอะไรไปก่อน พอเพื่อน brief ให้ฟังกลับดูง่ายเชียว ไมตอนกรูอ่านมันดูเยอะและยากวะ ไม่เข้าใจจริงๆ

เซ็งตัวเองที่สุด ทำอะไรก็ไม่เคยดีสักอย่าง Logic ก็ดูเหมือนจะห่วยแตกสิ้นดี เรียนวิดวะคอมมาได้ไงวะเนี่ย

คิดมากไปป่าวเนี่ย เฮ้อ สุดท้ายก็เห็นจะมีแต่ภาษาอังกิด ที่เรายังคงรักมันเสมอต้นเสมอปลาย

ไม่รู้ละชาตินี้ กรูจะต้องพูด ฟัง ภาษาอังกิดให้คล่องให้ได้ ฮึ คอยดู!!!!

วันอังคารที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2552

"ชีวิตคือละคร"

"ชีวิตคือละคร"
คำกล่าวนี้คงไม่ดูเกินจริงไปมากนักสำหรับตัวฉัน

เพราะชีวิตในแต่ละวันของฉัน มันก็คือละครทีมีฉันเป็นตัวดำเนินเรื่องก็เท่านั้นเอง

สิ่งเดียวที่ฉันทำได้ดีที่สุด ณ ตอนนี้คือดำเนินละครที่ชื่อว่า "ชีวิต" นี้ต่อไป ตราบใดที่น้ำตาแห่งความพ่ายแพ้ยังไม่ร่วงไหล ฉันก็จะไม่มีวันยอมแพ้ต่อโชคชะตาโดยเด็ดขาด

และนั่นก็เป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้ฉันชอบเพลง Reflection มากที่สุด...

มีคนเคยบอกว่า....

มีรุ่นพี่หลายคนเคยบอกว่าปีสี่แล้วต้องใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยช่วงสุดท้ายให้คุ้มค่าที่สุด...

แต่มันจะเป็นไปได้เหรอสำหรับคนอย่างฉัน ที่แต่ละวันยังคงทำได้แค่เพียงคอยถีบตัวเองให้พ้นจากพื้นดิน

ฉะนั้น หากจะบอกว่าสวรรค์กับนรกอยู่ใกล้กันเพียงแค่เส้นบางๆ คั่นมันก็คงไม่แปลกอะไรเลยสำหรับฉัน

บางที่มันก็เกิดความรู้สึกแปลกๆ ไม่รู้มันเป็นความโกรธ โมโห หรืออะไรกันแน่ แต่ที่แน่ๆ มันเกิดจากความอัดอั้นตันใจ น้อยใจอย่างที่ไม่รู้จะระบายออกมาเป็นคำพูดได้อย่างไร เมื่อต้องมาเห็นคนบางคนที่เกิดมาพร้อมเสียหมดทุกอย่างทั้งฐานะ รูปร่างหน้าตา ทั้งเรื่องเรียน หรือแม้กระทั้งทั้งกิจกรรม ทำอะไรก็ดีไปหมด ไม่สิเรียกได้ว่าเก่งไปหมดทุกด้าน ดูๆ แล้วเหมือนไม่มีอะไรเลยในโลกนี้ที่เค้าทำไม่ได้

แต่เมื่อมองมายังตัวเองต่อให้ตะเกียกตะกายให้ตายสักเพียงใด ก็ยังไม่ได้ครึ่งหนึ่งของพวกเขา

แล้วอย่างนี้จะให้ฉันไม่คิดได้อย่างใร ในเมื่อพวกเราทุกคนมีมือ มีเท้า มีสมอง มีอวัยวะครบ 32 เหมือนกันทุกประการ

แม้บางครั้งจะหาคำตอบได้ว่า "ก็พวกเขาฝึกมาหนักกว่าเรา" หรือไม่ก็ "พวกเขาขยันกว่าเรา"

แต่หากลองมองให้ดี จะเห็นว่าคำตอบนี้ก็ใช่ว่าจะใช้ได้กับทุกๆ คน

แล้วจะให้ฉันคิดอย่างไร เพราะท้ายที่สุดแล้วก็มักจะได้คำตอบเดิมๆ ที่ว่า

"ก็คงเพราะพวกเขาทำบุญมาเยอะกว่าเรา ชาตินี้เขาเลยสบาย"

แล้วยังไงล่ะ

ฉันคือผู้รับกรรมงั้นเหรอ???

แต่ถึงกระนั้นก็ตามที เคยอ่านนิยายเรื่องนึงได้กว่าถึงเรื่องความรักไว้ประมาณว่า

พระเจ้าช่างอยุติธรรมสิ้นดี ทำไมคนเหมือนๆ กันถึงได้ถูกสร้างมาให้แตกต่างกันได้ถึงเพียงนี้

และจะเพราะความรู้สึกผิดจากความอยุติธรรมนี้หรือไม่ พระเจ้าถึงได้ชดเชยความผิดด้วยการส่งคนที่สมบูรณ์แบบทุกๆ อย่างให้มาหลงรักคนธรรมดาๆ คนนึง

สุดท้ายแล้ว มันก็แค่เป็นความอัดอั้นตันใจอย่างถึงที่สุด ของผู้ชายคนนึงที่ไม่สามารถระบายให้ใครฟังได้ก็เท่านั้นเอง

It's not my day or not my place...

Fourth Year...

เรียนมาก็จะสี่ปีแล้ว แต่ไม่รู้ทำไม ในใจมันรู้สึกเหมือนยังไม่สามารถตะโกนแหกปาก บอกโลกได้อย่างเต็มภาคภูมิว่าที่นี่คือที่ที่ฉันควรมาอยู่

การมาอยู่ของฉัน ณ ที่แห่งนี้ มันเป็นเพราะบุญที่ฉันทำมา หรือเป็นเพราะกรรมที่ฉันต้องชดใช้ ฉันยังหาคำตอบไม่ได้

ใช่!! มันรู้สึกดีที่ได้บอกใครต่อใครว่าฉันเรียนอยู่ที่นี่ แต่ลึกๆ ภายในใจแล้ว ฉันยังคนเฝ้าถามตัวเองว่า "มันใช่ที่ของฉันจริงๆ หรือ?" แม้กระทั่ง "ฉันทำให้เค้าเสื่อมเสียชื่อเสียงหรือเปล่านะ?"

แต่ก่อนฉันเคยเป็นเด็กที่วิ่งเข้าหาอาจารย์อยู่บ่อยๆ เวลามีปัญหาอะไร สงสัยอะไรก็จะเข้าไปถามอาจารย์โดยไม่เคยรู้สึกกลัวเลยแม้แต่น้อย จนบางครั้งก็กลายเป็นศิษย์รักของอาจารย์ไปโดยไม่รู้ตัว

แต่แล้วความคิดเหล่านั้นก็ต้องเปลี่ยนไป เพราะเมื่อไม่นานมานี้ฉันได้พบกับความจริงที่ว่า ฉันกลายเป็นที่กลัวอาจารย์ไปเสียแล้ว...

การเข้าไปหาอาจารย์ในแต่ละทีของฉัน ณ ตอนนี้มันช่างเป็นสิ่งที่น่ากระอักกระอ่วนใจเสียเหลือเกิน หรือถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ฉันก็คงไม่เข้าไปหา มันจะเป็นเพราะวัฒนธรรมไทยที่สอนว่าอาจารย์ต้องอยู่สูงกว่าลูกศิษย์หรือเปล่าก็ไม่ทราบได้ ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างฉันกับอาจารย์ หรือแท้จริงแล้วเพียงเพราะฉันไม่ต้องการแสดงความเขลาให้อาจารย์เห็นก็เท่านั้นเอง

จะว่าไปก็ไม่แปลกอะไรที่อาจารย์จะชอบลูกศิษย์เก่งๆ ที่นำชื่อเสียงมาให้ เพราะนั่นก็คงเป็นสิ่งที่ทำให้อาจารย์ได้ภาคภูมิใจมากที่สุด

แต่สำหรับลูกศิษย์ธรรมดาๆ อย่างฉันที่ไม่รู้จะสร้างชื่อเสียงให้อาจารย์ภาคภูมิใจได้อย่างไร แถมบางทียังต้องเข้าไปถามอะไรที่ออกจะดูเหมือนโง่ๆ ไปสักหน่อย ก็คงควรแล้วละมั้งที่ต้องค่อยๆ ถอยห่างออกมา

เพราะตัวฉันเองก็รู้ว่า คงทนสายตาที่มองด้วยความสมเพศแบบนั้นบ่อยๆ ไม่ได้เหมือนกัน...